ใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินกับ AirPods Pro 2 หรือ AirPods Pro 3 ของคุณ
คุณสามารถใช้ AirPods เพื่อช่วยปกป้องการได้ยินในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังได้ด้วยคุณสมบัติการปกป้องการได้ยินแบบแอ็คทีฟ
หากคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดัง อย่างในสถานที่แข่งขันกีฬาหรือคลาสฟิตเนส คุณสามารถใช้ AirPods เพื่อช่วยลดการได้ยินเสียงดังรอบตัวได้ ซึ่งตามค่าเริ่มต้นแล้ว คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินจะทำงานในโหมดการฟังทั้ง 3 โหมด โดยที่แต่ละโหมดจะปกป้องการได้ยินในระดับที่แตกต่างกันออกไป1
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติการปกป้องการได้ยิน
คุณต้องมีสิ่งต่อไปนี้
หากต้องการใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินกับ AirPods Pro 3 ของคุณ AirPods ดังกล่าวต้องมีเฟิร์มแวร์ล่าสุด และต้องจับคู่กับอุปกรณ์ต่อไปนี้
iPhone ที่ใช้ iOS เวอร์ชั่นล่าสุด
iPad ที่ใช้ iPadOS เวอร์ชั่นล่าสุด
Mac ที่ใช้ macOS เวอร์ชั่นล่าสุด
หากต้องการใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินกับ AirPods Pro 2 ของคุณ AirPods ดังกล่าวต้องใช้เฟิร์มแวร์ล่าสุด และต้องจับคู่กับอุปกรณ์ต่อไปนี้
iPhone ที่ใช้ iOS 18.1 หรือใหม่กว่า
iPad ที่ใช้ iPadOS 18.1 หรือใหม่กว่า
Mac ที่มี macOS Sequoia 15.1 หรือใหม่กว่า
ประเทศหรือภูมิภาคที่คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินพร้อมให้ใช้งาน
ทดสอบความพอดีของจุกหูฟัง
ก่อนใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยิน ตรวจสอบให้แน่ใจว่า AirPods ของคุณแนบสนิทโดยสมบูรณ์เมื่อใส่ในหู เนื่องจากการใส่หูฟังที่พอดีจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากการปกป้องการได้ยินสำหรับโหมดการฟังที่คุณเลือก เพื่อให้คุณได้ใช้AirPods ที่มีขนาดพอดี ให้เลือกขนาดจุกหูฟังที่เหมาะสม และใช้ iPhone หรือ iPad ของคุณเพื่อทําการทดสอบความพอดีของจุกหูฟังสําหรับ AirPods Pro 2 หรือการทดสอบความแนบสนิทเพื่อสุนทรียภาพทางเสียงสําหรับ AirPods Pro 3
หากคุณใช้งาน AirPods มาแล้วระยะหนึ่ง และคุณได้รับคำแนะนำให้ปรับความพอดีของ AirPods คุณสามารถทำดังนี้
ลองใช้จุกหูฟัง ขนาดอื่น AirPods Pro 2 และ AirPods Pro 3 มาพร้อมกับจุกหูฟังหลายขนาด คุณจึงสามารถเลือกขนาดที่พอดีที่สุดได้ คุณสามารถสั่งซื้อจุกหูฟังชุดใหม่สําหรับAirPods Pro 2 หรือ AirPods Pro 3
ทําความสะอาด AirPods Pro ของคุณ เพราะเศษฝุ่นผงอาจทำให้ AirPods ไม่แนบสนิทเมื่ออยู่ในหู นอกจากนี้ยังควรทําความสะอาด AirPods เป็นระยะๆ เพื่อให้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินทำงานได้อย่างสมบูรณ์
การใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยิน
คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินจะเปิดทำงานอยู่แล้วตามค่าเริ่มต้นเมื่อมีการเปิดโหมดการฟังไม่ว่าโหมดใดก็ตาม ทั้งนี้ปริมาณเสียงที่ลดได้จริง (การลดทอน) ขึ้นอยู่กับระดับความพอดีของ AirPods, ระดับเสียงรอบตัวคุณ และโหมดการฟังที่คุณใช้อยู่ โดยในโหมด "ฟังเสียงภายนอก" หรือ "ปรับตามสภาพแวดล้อม" การลดทอนจะเพิ่มขึ้นเมื่อเสียงแวดล้อมดังขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดทอนทั้งหมดสําหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ
ให้เลือกโหมดฟังเสียงภายนอกเมื่อคุณยังต้องการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว อย่างในคอนเสิร์ตหรือการแข่งขันกีฬา
ให้เลือกโหมดปรับตามสภาพแวดล้อมเมื่อระดับเสียงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรือไม่แน่นอน เช่น การจราจรในเมืองหรือขณะเดินทาง
ให้เลือกโหมดตัดเสียงรบกวนหากต้องการให้มีการปกป้องการได้ยินอย่างสม่ำเสมอ เช่น ในสถานการณ์ที่คุณต้องการหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน
AirPods ของคุณต้องมีประจุไฟเพื่อใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยิน เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย คุณจะได้ยินเสียงเตือนหนึ่งครั้งใน AirPods ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง โดยคุณจะได้ยินเสียงเตือนหนึ่งครั้งเมื่อแบตเตอรี่เหลือ 10% และจะได้ยินอีกครั้งก่อนที่ AirPods จะดับ ดูวิธีชาร์จ AirPods และเคสชาร์จ และวิธียืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ให้ AirPods
เมื่อการปกป้องการได้ยินปิดทำงาน
คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินจะปิดทำงานเมื่อแบตเตอรี่ของ AirPods Pro หมด, เมื่อเลือกปิดโหมดการฟัง หรือเมื่อ "ลดเสียงดัง" ปิดอยู่ในการตั้งค่าการช่วยการเข้าถึงสำหรับการฟังเสียงภายนอกและการปรับเสียงตามสภาพแวดล้อม
เกี่ยวกับการได้รับเสียงในสภาพแวดล้อม
คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินช่วยปกป้องการได้ยินของคุณในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ทั้งนี้ระยะเวลาแน่นอนที่บุคคลหนึ่งสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังได้อาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละบุคคล แต่มีแนวทางโดยทั่วไปที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้เพื่อดูแลสุขภาพการได้ยินของตัวเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อเสียงดังขึ้นและระดับเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมสูงขึ้น ระยะเวลาที่คุณควรอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นจะลดลง
หากคุณมี Apple Watch คุณสามารถใช้แอปเสียงรบกวนเพื่อวัดระดับเสียงรอบตัวและเตือนคุณเมื่อเสียงดังถึงระดับที่กำหนดไว้
ขีดจำกัดการรับเสียงขณะใช้งานคุณสมบัติการปกป้องการได้ยิน
ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนดังต่อเนื่องที่ระดับหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผลต่างระหว่างระดับเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมและค่าการลดเสียง (ค่าการลดทอน) จะถือเป็นระดับการรับเสียงโดยประมาณของคุณ ขีดจํากัดการรับเสียงแสดงถึงระยะเวลาสูงสุดที่แนะนําสําหรับการรับเสียงครั้งนี้ โดยขึ้นอยู่กับโหมดการฟังที่คุณใช้อยู่ นอกจากนี้ค่าการลดทอนรวมและขีดจำกัดการรับเสียง2 จะแตกต่างออกไปตามความพอดีของหูฟังของผู้ใช้แต่ละคนและระดับเสียงในสภาพแวดล้อม ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขีดจํากัดการรับเสียงสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ
ตัวอย่างเช่น หากระดับเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมอยู่ที่ 100 dBA และค่าการลดทอนอยู่ที่ 20 dB ระดับการรับเสียงรบกวนของคุณจะเป็น 80 dBA
องค์การอนามัยโลกมีแนวทางเกี่ยวกับระยะเวลาการรับเสียงที่ปลอดภัยสําหรับระดับการรับเสียงรบกวนที่กําหนด ตัวอย่างเช่น หากระดับการรับเสียงรบกวนของคุณอยู่ที่ 80 dBA ระดับการรับเสียงดังกล่าวจะปลอดภัยสําหรับผู้ใหญ่ก็ต่อเมื่อมีรับเสียงไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
เมื่อคุณสวม AirPods กับ Apple Watch คุณสามารถตรวจสอบระดับเสียงของแอปเสียงรบกวน เพื่อแสดงระดับเสียงโดยประมาณเมื่อมีหรือไม่มี AirPods ได้
สิ่งที่คุณควรทราบ
การใส่ AirPods Pro 2 หรือ AirPods Pro 3 ที่ไม่พอดีจะทําให้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินมีประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนลดลง และจะสามารถลดทอนได้ถึงระดับสูงสุดก็ต่อเมื่อ AirPods ของคุณมีความพอดีและใส่อย่างถูกต้อง
หากคุณได้ยินเสียงหวีดขณะใช้งานแสดงว่าการปกป้องการได้ยินอาจทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ให้ลองปรับความพอดีของ AirPods
ควรทำความสะอาด AirPods เป็นระยะๆ และจัดเก็บในเคสอย่างเหมาะสมเพื่อให้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ตรวจสอบ AirPods ก่อนใช้งานและอย่าใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินหาก AirPods เสียหาย
การใช้คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินเป็นการถาวร
ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและการดูแล AirPods
คุณสมบัติการปกป้องการได้ยินไม่เหมาะสำหรับการปกป้องจากเสียงดังมากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น เสียงยิงปืน ดอกไม้ไฟ หรือเครื่องสกัดคอนกรีต หรือการปกป้องจากเสียงระดับสูงกว่า 110 dBA ที่ดังอย่างต่อเนื่อง
ขีดจำกัดการรับเสียงเป็นเป็นไปตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และค่าการลดทอนรวมอ้างอิงจาก ANSI/ASA S12.68-2007