การตั้งค่าที่แนะนำสำหรับเราเตอร์ Wi-Fi และจุดเชื่อมต่อสัญญาณ
เพื่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือสูงสุด เราขอแนะนำให้ใช้การตั้งค่าเหล่านี้สำหรับเราเตอร์ Wi-Fi, สถานีฐาน หรือจุดเชื่อมต่อที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ Apple
บทความนี้มีไว้สำหรับผู้ดูแลระบบเครือข่ายและผู้ที่จัดการเครือข่ายของตัวเองเป็นหลัก หากคุณกำลังพยายามเข้าร่วมเครือข่าย Wi-Fi หนึ่งในบทความเหล่านี้สามารถช่วยคุณได้
เชื่อมต่อกับ Wi-Fi บน iPhone หรือ iPad
เกี่ยวกับคำเตือนความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยบนอุปกรณ์ของคุณ
หากอุปกรณ์ Apple ของคุณแสดงคำเตือนความเป็นส่วนตัวหรือคำเตือนความปลอดภัยต่ำเกี่ยวกับเครือข่าย Wi-Fi เครือข่ายนั้นอาจเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ของคุณ
หากคุณดูแลเครือข่าย Wi-Fi เราขอแนะนำให้คุณอัปเดตการตั้งค่าเราเตอร์ Wi-Fi ของคุณให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในบทความนี้
หากคุณไม่ได้ดูแลเครือข่าย Wi-Fi ให้แจ้งการตั้งค่าที่แนะนำในบทความนี้ให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายรับทราบ
การตั้งค่าเราเตอร์
เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายของคุณได้อย่างปลอดภัยและเสถียร ให้ใช้การตั้งค่าเหล่านี้กับทั้งเราเตอร์ Wi-Fi และจุดเชื่อมต่อ และกับแต่ละย่านความถี่ของเราเตอร์แบบสองย่านความถี่ สามย่านความถี่ หรือแบบหลายย่านความถี่อื่นๆ ก่อนเปลี่ยนการตั้งค่า คุณควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
สำรองข้อมูลการตั้งค่าปัจจุบันของคุณเผื่อไว้ในกรณีที่คุณจำเป็นต้องกู้คืนการตั้งค่านั้น
ติดตั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์ล่าสุดสำหรับเราเตอร์ของคุณ ซึ่งโดยทั่วไปสามารถทำได้จากแอปหรือเว็บเพจที่คุณใช้ดูแลเราเตอร์
อัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์อื่นๆ ของคุณ เช่น บน Mac และบน iPhone หรือ iPad เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์มีการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดและทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด
หลังจากเปลี่ยนการตั้งค่าแล้ว คุณอาจต้องทำการลืมเครือข่าย เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ใช้การตั้งค่าใหม่ของเราเตอร์เมื่อเข้าร่วมเครือข่ายอีกครั้ง
ความปลอดภัย
ตั้งค่าเป็น WPA3 Personal เพื่อความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น
ตั้งค่าเป็น WPA2/WPA3 Transitional เพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์รุ่นเก่าได้
การตั้งค่าความปลอดภัยจะกำหนดประเภทของการรับรองความถูกต้องและการเข้ารหัสที่เราเตอร์ใช้ และกำหนดระดับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย ไม่ว่าคุณจะเลือกการตั้งค่าใด ให้ตั้งรหัสผ่านที่เดายากเสมอสำหรับการเข้าร่วมเครือข่าย
WPA3 Personal เป็นโปรโตคอลใหม่ล่าสุดและปลอดภัยที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบันสำหรับอุปกรณ์ Wi-Fi
WPA2/WPA3 Transitional เป็นโหมดผสมที่ใช้ WPA3 Personal กับอุปกรณ์ที่รองรับโปรโตคอลนั้น ขณะที่อนุญาตให้อุปกรณ์รุ่นเก่าใช้ WPA2 Personal (AES) แทน
WPA2 Personal (AES)is appropriate when you can't use one of the more secure modes. In that case, also choose AES as the encryption or cipher type, if available.
การตั้งค่าความปลอดภัยที่ต่ำที่ไม่ควรใช้ในเราเตอร์ของคุณ
อย่าสร้างหรือเข้าร่วมเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลความปลอดภัยรุ่นเก่าที่เลิกใช้แล้ว โปรโตคอลเหล่านี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ทำให้ความเสถียรและประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลง อีกทั้งยังทำให้อุปกรณ์ของคุณแสดงคำเตือนด้านความปลอดภัย:
WPA/WPA2 Mixed Mode
WPA Personal
WEP รวมถึง WEP Open, WEP Shared, WEP Transitional Security Network หรือ Dynamic WEP (WEP with 802.1X)
TKIP รวมถึงการตั้งค่าความปลอดภัยใดๆ ที่มี TKIP อยู่ในชื่อ
นอกจากนี้ยังขอแนะนำอย่างยิ่งไม่ให้ใช้การตั้งค่าที่ปิดการรักษาความปลอดภัย เช่น ไม่มี เปิด หรือไม่ปลอดภัย การปิดระบบความปลอดภัยจะปิดใช้งานการรับรองความถูกต้องและการเข้ารหัส ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ทุกคนสามารถเข้าร่วมเครือข่ายของคุณ เข้าถึงทรัพยากรที่แชร์ (รวมถึงเครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ) ใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณ และตรวจสอบงเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่ส่งผ่านเครือข่ายหรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณ การทำเช่นนี้มีความเสี่ยง แม้ว่าจะปิดการรักษาความปลอดภัยไว้ชั่วคราวหรือสำหรับเครือข่ายผู้ใช้ทั่วไปก็ตาม
ชื่อเครือข่าย (SSID)
ตั้งค่าเป็นชื่อเดี่ยวที่ไม่ซ้ำกัน (ยึดตามตัวพิมพ์) สำหรับย่านความถี่ทั้งหมด
ชื่อเครือข่าย Wi-Fi หรือ SSID (Service Set Identifier) เป็นชื่อที่เครือข่ายของคุณใช้เพื่อโฆษณาการมีอยู่ของอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นชื่อที่ผู้ใช้ที่อยู่ใกล้ๆ เห็นในรายการเครือข่ายที่ใช้งานได้ของอุปกรณ์
ดูให้แน่ใจว่าเราเตอร์ทั้งหมดบนเครือข่ายของคุณใช้ชื่อเดียวกันทุกย่านความถี่ที่รองรับ หากคุณตั้งชื่อย่านความถี่ 2.4GHz, 5GHz หรือ 6GHz แตกกัน อุปกรณ์อาจไม่เชื่อมต่ออย่างเสถียรกับเครือข่ายของคุณ เราเตอร์ทั้งหมดบนเครือข่ายของคุณ หรือกับย่านความถี่ที่ใช้ได้ทั้งหมดของเราเตอร์ของคุณ หากเราเตอร์ของคุณให้บริการเครือข่าย Wi-Fi 6E ที่ไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกันในทุกย่านความถี่ อุปกรณ์ Apple ที่รองรับ Wi-Fi 6E จะมองว่าเป็นเครือข่ายที่เข้ากันได้แบบจำกัด
ใช้ชื่อที่เจาะจงสำหรับเครือข่ายของคุณ อย่าใช้ชื่อทั่วไปหรือชื่อเริ่มต้น เช่น linksys, netgear, dlink, wireless หรือ 2wire มิเช่นนั้นอุปกรณ์ที่เข้าร่วมเครือข่ายของคุณมีแนวโน้มที่จะพบกับเครือข่ายอื่นที่มีชื่อเดียวกัน แล้วพยายามเชื่อมต่อกับเครือข่ายดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
เครือข่ายที่ซ่อนอยู่
ตั้งเป็น ปิดใช้งาน
สามารถกำหนดค่าเราเตอร์ให้ซ่อนชื่อเครือข่าย (SSID) ได้ เราเตอร์ของคุณอาจใช้ "ปิด" เพื่อหมายถึงซ่อน และ "แสดง" เพื่อหมายถึงไม่ซ่อนอย่างไม่ถูกต้อง
การซ่อนชื่อเครือข่ายไม่ได้ซ่อนเครือข่ายจากการตรวจหาหรือป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และเนื่องจากวิธีการที่อุปกรณ์ค้นหาและเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi การใช้เครือข่ายที่ซ่อนอยู่อาจเปิดเผยข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวตนของคุณและเครือข่ายที่ซ่อนที่คุณใช้อยู่ เช่น เครือข่ายที่บ้านของคุณ เมื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ซ่อนอยู่ อุปกรณ์ของคุณอาจแสดงคำเตือนความเป็นส่วนตัวเนื่องจากความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวนี้
หากต้องการเข้าถึงเครือข่ายของคุณอย่างปลอดภัย ให้ใช้วิธีการตั้งค่าความปลอดภัยที่เหมาะสมแทน
การกรองที่อยู่ MAC, การรับรองความถูกต้อง, การควบคุมการเข้าถึง
ตั้งค่าเป็น ปิดใช้งาน
เมื่อเปิดใช้งานคุณสมบัตินี้ จะสามารถตั้งค่าเราเตอร์ของคุณให้อนุญาตเฉพาะอุปกรณ์ที่มีที่อยู่ MAC (การควบคุมการเข้าถึงสื่อ) ที่ระบุเพื่อเข้าร่วมเครือข่าย คุณไม่ควรใช้คุณสมบัตินี้เพื่อป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
คุณสมบัตินี้ไม่ได้ป้องกันไม่ให้ผู้สังเกตการณ์เครือข่ายตรวจสอบหรือขัดขวางการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายได้
ที่อยู่ MAC สามารถคัดลอก ปลอมแปลง (เลียนแบบ) หรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
เพื่อเป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ อุปกรณ์ Apple บางเครื่องจึงใช้ที่อยู่ MAC ที่แตกต่างกันสำหรับเครือข่าย Wi-Fi แต่ละเครือข่าย
หากต้องการเข้าถึงเครือข่ายของคุณอย่างปลอดภัย ให้ใช้วิธีการตั้งค่าความปลอดภัยที่เหมาะสมแทน
การอัปเดตเฟิร์มแวร์อัตโนมัติ
ตั้งค่าเป็น เปิดใช้งาน
หากเป็นไปได้ ให้ตั้งค่าเราเตอร์ของคุณให้ติดตั้งการอัปเดตซอฟต์แวร์และเฟิร์มแวร์โดยอัตโนมัติ เมื่อมีให้ใช้งาน การอัปเดตเฟิร์มแวร์อาจส่งผลต่อการตั้งค่าความปลอดภัยที่มีให้คุณ และยังมอบการปรับปรุงที่สำคัญอื่นๆ เพื่อเพิ่มความเสถียร ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยให้กับเราเตอร์ของคุณ
โหมดวิทยุ
ตั้งค่าเป็นทั้งหมด (แนะนำ) หรือ หรือมากกว่านั้น หรือมากกว่านั้น
การตั้งค่าโหมดวิทยุ ซึ่งมีให้แยกกันสำหรับย่านความถี่ 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz จะควบคุมว่าเราเตอร์จะใช้มาตรฐาน Wi-Fi เวอร์ชั่นใดสำหรับการสื่อสารไร้สาย รุ่นที่ใหม่กว่ามอบประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและรองรับอุปกรณ์พร้อมกันได้มากขึ้น
โดยปกติแล้ววิธีที่ดีที่สุดคือเปิดใช้งานทุกโหมดที่เราเตอร์ของคุณมี แทนที่จะเป็นชุดย่อยของโหมดเหล่านั้น อุปกรณ์ทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์รุ่นเก่า สามารถเชื่อมต่อโดยใช้โหมดวิทยุที่เร็วที่สุดที่อุปกรณ์เหล่านั้นรองรับ ตัวเลือกนี้ยังช่วยลดการรบกวนจากเครือข่ายและอุปกรณ์เดิมที่อยู่ใกล้ๆ
ย่านความถี่
เปิดใช้งานทุกย่านความถี่ที่เราเตอร์ของคุณรองรับ
ย่านความถี่ Wi-Fi เปรียบเสมือนถนนที่ข้อมูลไหลผ่านได้ ย่านความถี่สูงกว่าจะให้พื้นที่เก็บข้อมูลและประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับเครือข่ายของคุณ
ช่องสัญญาณ
ตั้งเป็น อัตโนมัติ
เราเตอร์แต่ละตัวของคุณจะแบ่งออกเป็นหลายช่องทางการสื่อสารอิสระ เช่น ช่องทางการเดินรถบนถนน เมื่อการเลือกช่องถูกตั้งค่าเป็นอัตโนมัติ เราเตอร์ของคุณจะเลือกช่องสัญญาณ Wi-Fi ที่ดีที่สุดให้คุณ
หากเราเตอร์ของคุณไม่รองรับการเลือกช่องสัญญาณอัตโนมัติ ให้เลือกว่าช่องสัญญาณใดทำงานได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมเครือข่ายของคุณ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามสัญญาณรบกวน Wi-Fi หากคุณมีเราเตอร์หลายตัว ให้กำหนดค่าให้แต่ละตัวใช้ช่องสัญญาณที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ใกล้กัน
ความกว้างช่องสัญญาณ
ตั้งค่าเป็น 20MHz สำหรับย่านความถี่ 2.4GHz
ตั้งค่าเป็นอัตโนมัติ หรือ ทุกช่วง สำหรับย่านความถี่ 5GHz และ 6GHz
ความกว้างช่องสัญญาณจะระบุว่ามี "ท่อ" ขนาดใหญ่เท่าใดสำหรับการถ่ายโอนข้อมูล ช่องสัญญาณที่กว้างกว่าจะเร็วกว่า แต่จะไวต่อสัญญาณรบกวนและมีแนวโน้มที่จะรบกวนอุปกรณ์อื่นๆ
20MHz สำหรับย่านความถี่ 2.4GHz ช่วยป้องกันปัญหาด้านประสิทธิภาพและความเสถียร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ใกล้กับเครือข่าย Wi-Fi อื่นและอุปกรณ์ 2.4GHz รวมถึงอุปกรณ์บลูทูธ
ความกว้างของช่องสัญญาณอัตโนมัติหรือทุกช่วงสำหรับย่านความถี่ 5GHz และ 6GHz ช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพที่ดีที่สุดและสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ทุกรุ่น ย่านความถี่เหล่านี้จะมีปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนไร้สายน้อยลง
DHCP
ตั้งค่าเป็น เปิดใช้งาน หากเราเตอร์ของคุณเป็นเซิร์ฟเวอร์ DHCP เดียวในเครือข่าย
DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) จะกำหนดที่อยู่ IP ให้กับอุปกรณ์ในเครือข่ายของคุณ ที่อยู่ IP แต่ละรายการจะระบุอุปกรณ์ในเครือข่ายและทำให้สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตได้ อุปกรณ์เครือข่ายต้องมีที่อยู่ IP เช่นเดียวกับโทรศัพท์ที่ต้องมีหมายเลขโทรศัพท์
เครือข่ายของคุณควรมีเซิร์ฟเวอร์ DHCP เดียวเท่านั้น หากเปิดใช้งาน DHCP ในอุปกรณ์มากกว่าหนึ่งเครื่อง เช่น ทั้งเคเบิลโมเด็มและเราเตอร์ของคุณ ความขัดแย้งของที่อยู่อาจทำให้อุปกรณ์บางอย่างไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือใช้ทรัพยากรเครือข่ายได้
DHCP Lease Time
ตั้งค่าเป็น 8 ชั่วโมง
DHCP Lease Time คือระยะเวลาที่มีการสงวนที่อยู่ IP ที่ได้รับการกำหนดให้กับอุปกรณ์สำหรับอุปกรณ์นั้น
ตามปกติแล้ว เราเตอร์ Wi-Fi จะมีที่อยู่ IP จำนวนจำกัดซึ่งสามารถกำหนดให้กับอุปกรณ์ในเครือข่าย หากจำนวนนั้นถูกใช้หมด เราเตอร์จะไม่สามารถกำหนดที่อยู่ IP ให้กับอุปกรณ์ใหม่ ทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นไม่สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตได้ การลด DHCP Lease Time ช่วยให้เราเตอร์สามารถเรียกคืนและกำหนดที่อยู่ IP เดิมที่ไม่ใช้งานแล้วได้เร็วขึ้น
NAT
ตั้งค่าเป็น เปิดใช้งาน หากเราเตอร์ของคุณเป็นอุปกรณ์เดียวที่ให้บริการ NAT บนเครือข่าย
NAT (Network Address Translation) จะแปลระหว่างที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตและที่อยู่ที่อยู่ในเครือข่ายของคุณ สามารถอธิบายเกี่ยวกับ NAT ให้เข้าใจได้ง่าย โดยการนึกถึงแผนกไปรษณีย์ของบริษัท ซึ่งการจัดส่งให้กับพนักงานตามที่อยู่ของบริษัทจะถูกส่งไปยังสำนักงานของพนักงานภายในอาคาร
โดยทั่วไป ให้เปิดใช้งาน NAT บนเราเตอร์ของคุณเท่านั้น หากเปิดใช้งาน NAT บนอุปกรณ์มากกว่าหนึ่งเครื่อง เช่น ทั้งเคเบิลโมเด็มและเราเตอร์ "double NAT" ที่เกิดขึ้นอาจทำให้อุปกรณ์สูญเสียการเข้าถึงทรัพยากรบางอย่างในเครือข่ายหรืออินเทอร์เน็ต
WMM
ตั้งค่าเป็น เปิดใช้งาน
WMM (Wi-Fi Multimedia) จะจัดลำดับความสำคัญของการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้งานเครือข่ายรูปแบบต่างๆ เช่น วิดีโอและเสียง เราเตอร์ทั้งหมดที่รองรับ Wi-Fi 4 (802.11n) หรือใหม่กว่าควรเปิดใช้งาน WMM ตามค่าเริ่มต้น การปิดใช้งาน WMM อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความเสถียรของอุปกรณ์ในเครือข่าย
คุณสมบัติของอุปกรณ์ที่สามารถส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่อ Wi-Fi
คุณสมบัติเหล่านี้อาจส่งผลต่อวิธีการตั้งค่าเราเตอร์หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเราเตอร์
ที่อยู่ Wi-Fi แบบส่วนตัว
หากคุณเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi จาก iPhone, iPad หรือ Apple Watch โปรดดูข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ที่อยู่ Wi-Fi ส่วนตัวบนอุปกรณ์เหล่านั้น
บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ได้เปิดบริการหาตำแหน่งที่ตั้งสำหรับเครือข่าย Wi-Fi เนื่องจากข้อบังคับในแต่ละประเทศหรือภูมิภาคจะกำหนดช่องสัญญาณ Wi-Fi และความแรงของสัญญาณไร้สายที่ได้รับอนุญาตสำหรับตำแหน่งที่ตั้งนั้น บริการหาตำแหน่งที่ตั้งช่วยยืนยันว่าอุปกรณ์ของคุณสามารถเห็นและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ และยังทำงานได้ดีเมื่อใช้ Wi-Fi หรือคุณสมบัติที่ต้องใช้ Wi-Fi เช่น AirPlay หรือ AirDrop
บน Mac ที่ใช้ macOS Ventura หรือใหม่กว่า
เลือกเมนู Apple > การตั้งค่าระบบ จากนั้นคลิกความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในแถบด้านข้าง
คลิกบริการหาตำแหน่งที่ตั้งทางด้านขวา
เลื่อนลงไปด้านล่างสุดของรายการแอปและบริการ แล้วคลิกปุ่มรายละเอียดที่อยู่ข้างบริการระบบ
เปิด "เครือข่ายและไร้สาย" จากนั้นคลิกเสร็จสิ้น
บน Mac ที่ใช้ macOS Monterey หรือรุ่นก่อนหน้า
เลือกเมนู Apple > การตั้งค่าระบบ แล้วคลิกความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
คลิก
ที่มุมของหน้าต่าง แล้วป้อนรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบในแท็บความเป็นส่วนตัว ให้เลือกบริการหาตำแหน่งที่ตั้ง แล้วเลือกเปิดใช้งานบริการหาตำแหน่งที่ตั้ง
เลื่อนลงไปด้านล่างสุดของรายการแอปและบริการ แล้วคลิกปุ่มรายละเอียดที่อยู่ข้างบริการระบบ
เลือกระบบเครือข่ายและไร้สาย (หรือระบบเครือข่าย Wi-Fi) จากนั้นคลิกเสร็จสิ้น
ใน iPhone หรือ iPad
ไปที่การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (หรือความเป็นส่วนตัว) > บริการหาตำแหน่ง
เปิดบริการหาตำแหน่งที่ตั้ง
เลื่อนไปที่ด้านล่างของรายการ แล้วแตะบริการระบบ
เปิดระบบเครือข่ายและไร้สาย (หรือเครือข่าย Wi-Fi)
เข้าร่วมอัตโนมัติเมื่อใช้กับเครือข่าย Wi-Fi ของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย
เครือข่าย Wi-Fi ของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ติดตั้งโดยผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายของคุณและคู่ค้าของพวกเขา iPhone หรืออุปกรณ์เซลลูลาร์อื่นๆ ของ Apple จะถือว่าเครือข่ายเหล่านี้เป็นเครือข่ายที่รู้จักและเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ
หากคุณเห็น “คำเตือนความเป็นส่วนตัว” ใต้ชื่อเครือข่ายของผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณในการตั้งค่า Wi-Fi ข้อมูลเฉพาะตัวเซลลูลาร์ของคุณอาจถูกเปิดเผยหากอุปกรณ์ของคุณเคยเข้าร่วมฮอตสปอตที่ประสงค์ร้ายที่ปลอมเป็นเครือข่าย Wi-Fi ของผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ คุณสามารถป้องกันไม่ให้ iPhone หรือ iPad ของคุณเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ของผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณโดยอัตโนมัติโดยทำดังนี้
ไปที่ "การตั้งค่า > Wi-Fi"
แตะ
ถัดจากเครือข่ายของผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายปิดการเข้าร่วมอัตโนมัติ
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตโดย Apple หรือเว็บไซต์อิสระที่ Apple ไม่ได้ควบคุมหรือทดสอบไม่ถือเป็นการแนะนำหรือการรับรองใดๆ Apple จะไม่รับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเลือก ประสิทธิภาพการทำงาน หรือการใช้งานเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่น Apple ไม่รับรองความถูกต้องหรือความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของบริษัทอื่น โปรดติดต่อผู้จำหน่ายหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม